วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

บทกวีตัวอย่างอยากให้อ่าน

                                       นิราศสุพรรณ
                   ๏ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า .......... ดาดาว
                   จรูญจรัดรัศมีพราว................ พร่างพร้อย
                   ยามดึกนึกหนาวหนาว ........... เขนยแนบ  แอบเอย
                   เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย ................ เยือกฟ้าพาหนาว ๚

                   ๏ มหานากฉวากวุ้ง ............  คุ้งคลอง
                   ชุ่มชื่นรื่นรุกขีสอง ................ ฝั่งน้ำ
                   คุกคิดมิศหมายครอง ............ สัจสวาดิ ขาดเอย
                   กล้าตกรกเรื้อซ้ำ ................. โศกทั้งหมางสมร ๚
                                                                                     # สุนทรภู่
                                      นิราศนรินทร์
                                                                                                                                  
                   o จากมามาลิ่วล้ำ.....ลำบาง
                   บางยี่เรือราพลาง.......พี่พร้อง
                   เรือแขวงช่วยพานาง...เมียงม่าน มานา
                   บางบ่รับคำคล้อง.......คล่าวน้ำตาคลอ
                                                                                                                                                                   
                                      ลิลิตพระลอ
                                                                                                                                  
                   o เสียงลือเสียงเล่าอ้าง.....อันใด พี่เอย
                   เสียงย่อมยอยศใคร..........ทั่วหล้า
                   สองเขือพี่หลับใหล..........ลืมตื่น ฤๅพี่
                   สองพี่คิดเองอ้า..............อย่าได้ถามเผือ

                                      สามัคคีเภทคำฉันท์
                       บงเนื้อก็เนื้อเต้น    พิศเส้นสรีร์รัว
                   ทั่วร่างและทั้งตัว        ก็ระริกระริวไหว
                   แลหลังละลามโล      หิตโอ้เลอะหลั่งไป
                   เพ่งผาดอนาถใจ        ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
                                         ( ชิต บุรทัต)

                                  เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร
                   ทุทาสสุถลฉะนี้ไฉน                                                     ก็มาเป็น
                                      ศึก    ถึงและมึงก็ยังมีเห็น
                   จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น                                         ประการใด
                                      อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
                   ขยาดขยันมิทันอะไร                                                     ก็หมิ่นกู
                                                                                      # (สามัคคีเภทคำฉันท์)

บทกวีนิพนธ์ ในสระน้ำใส

                  ลูกครอกออกว่ายกายสีสด        แดงจรดหัวท้ายว่ายเป็นกลุ่ม
              มีแม่ปลาช่อนว่ายต้อนคุ้ม             เกลื่อนกลุ้มหากินสินในน้ำ
              กิ๊วก๊าวกิ๊บก๊าบเป็ดทาบปีก.            ตีนพุ้ยลัดหลีกปีกรุ่มร่าม
              เหล่าลูกเป็ดน้อยเล่นลอยตาม        ไซ้แหนแผ่งามตามแม่มา
              พลิกพลิ้วริ้วครีบใต้กลีบก้าน           .แย้มยั่วบัวบานว่ายผ่านหน้า
              ฝูงเป็ดตัวน้อยแม่ลอยพา              ว่ายหาอาหารหลีกก้านบัว
              ปลาแม่แผ่คุ้มไล่กลุ่มลูก              .กลับถูกลูกเป็ดที่เล็ดรั่ว
              กลุ้มกินสิ้นใจไปหลายตัว              แตกหายว่ายมั่วมุดบัวพลัน
              เย็นยอนใยแดดคลายแปดเปื้อน.      สะเทือนวงน้ำทำเสียงลั่น
              ก่อนไล่ฝูงเป็ดไปบ้านนั้น.              ฝูงเด็กร่วมกันโดดลั่นน้ำ 
                                                                             #(โชคชัย บัณฑิต)
                                      แม่ตาปี

                  ๏ กลิ่นคาวทะเลหอม    เมื่อลมหอบกระไออวล
             หยดหยาดละอองนวล         ประมาณค่าแม่ตาปี
             ธงเรือสะบัดชาย             อยู่ปลายเสากระโดงสี
             เขียวแดงน้ำเงินดี               ประดับล้วนประดาเรือ
              เสาก่ายระกะก่อ             เป็นตอโยงอยู่โครงเครือ
             คร่ำแข็งด้วยแรงเกลือ      แห่งน้ำกร่อยเป็นกำลัง
             เรือนโรงระโยงย่าน         ยังยืดยาวอยู่ยืนยัง
             คอบค้อมพอกำบัง          กระบวนชีพอันชินชาญ
 ลำพูลำเพาราก             และกอจากประจงจาร
             ร่ายร่ำดั่งตำนาน           แห่งลำน้ำชั่วกัลปา
             แขนซ้ายคือพุมดวง        แม่น้ำหลวงคือแขนขวา
             อุ้มลูกแนบอุรา             ให้ดื่มนมแม่ตาปี ๚ะ๛
                          (เขียนแผ่นดิน : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)


                                  จันทร์เจ้าขา

                 จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าขา    ฉันเกิดมาในเมืองหลวง
             จันทร์เด่นเห็นเต็มดวง       โชติช่วงอยู่รูหลังคา
             จันทร์จ๋าจันทร์เจ้าเอ๋ย        ฉันไม่เคยได้ศึกษา
             วันวันวิ่งไปมา                 ขายมาลัยให้รถยนต์
             จันทร์เอ๋ยพระจันทร์เจ้า       ฉันต้องเฝ้าอยู่บนถนน
             แดดร้อนไม่ร้อนรน            เท่าร้อนใจไม่มีกิน
             จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าขา        ขอหลังคาคลุมแผ่นดิน
             ขอมุ้งกันยุงริ้น              ขอผ้าห่มให้หายหนาว
             จันทร์จ๋าจันทร์เจ้าเอ๋ย         ฉันไม่เคยรู้เรื่องราว
             ก. ไก่ ข. ไข่ดาว              ขอครูด้วยช่วยสอนฉัน
             จันทร์เอ๋ยพระจันทร์เจ้า       ขอคนเรารักผูกพัน
             ขอสิทธิเท่าเทียมกัน          ขอสักวันฉันมีกิน ฯ
                                       (ที่มา : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)


เสียเจ้า
                              ๏ เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง      มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
                          มิหวังกระทั่งฟากฟ้า              ซบหน้าติดดินกินทราย

                          จะเจ็บจำไปถึงปรโลก            ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
                          จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย           อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ

                          ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์             ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
                          สูเป็นไฟเราเป็นไม้              ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ

                          แม้แต่ธุลีมิอาลัย                    ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
                          ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน        จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา

                          ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า              ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
                          เพื่อจดจำพิษช้ำนานา             ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย๚ 
                                                                              #(อังคาร กัลยาณพงศ์)

                                                              วารีดุริยางค์
                     แทบฝั่งธารที่เราเฝ้าฝันถึงเสียงน้ำ  ซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
                 จักรวาลวุ่นวายไร้สำเนียง              โลกนี้เพียงแผ่นภพสงบเย็น
                 เพื่อชื่นชมรมณีย์กับชีวิต              ที่จะคิดที่จะทำตามคิดเห็น
                ระเรื่อยเรื่อยเฉื่อยฉ่ำลืมลำเค็ญ       ลืมความเป็นปรัศนีของชีวิต
                 หางนกยูงระย้าเรี่ยคลอเคลียน้ำ       แพนดอกฉ่ำช้อยช่อวรวิจิตร
               งามดั่งเปลวเพลิงป่ามานิรมิต         สร้อยโสภิตอภิรุมพุ่มหัวใจ
                 เพรชน้ำค้างค้างหล่นบนพรมหญ้า     เย็นหยาดฟ้ามาฝันหลงวันใหม่
                เคล้าเคลียหยอกดอกหญ้า              อย่างอาลัยเมื่อแฉกดาวใบไผ่ไหวตะวัน
                มโหรีจากราวป่ามาเรื่อยรี่              ราชินีแห่งน้ำค้างจะห่างหัน
                ฝักต้อยติ่งแตกจังหวะประชันกัน       จักจั่นจี่เจื้อยรับเรื่อยร้อง
                ลมระเริงลู่หวิวพลิ้วระลอก              สัพยอกยอดไม้ไปลิ่วล่อง
                แล้วใบไม้ก็ไหวส่าย ขึงข่ายกรอง       ทอแสงทองทอดประทับซับน้ำค้าง
                ดอกไม้ป่าปรุงกลิ่นประทิ่นป่า           อบบุหงามาลัยทั่วไพรกว้าง
               หอมจนหอบหัวใจไปเคว้งคว้าง         เคลิ้มถวิลกลิ่นปรางอบกลางทรวง
                ผีเสื้อสวยแต้มสีที่กลีบแก้ม             ชมพูแย้มแดงระยับสลับม่วง
                ก้านเกสรอ่อนฉ่ำน้ำผึ้งรวง             หยาดหยดพวงพุ่มระย้าจากคาคบฯ
                                                                              #เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


     เพลงชาติ
๏ ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพลิ้ว
แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ

ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง

ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี

เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
บ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง

ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง! ๚
                                                                #นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา , ๒๕๑๐

 นกขมิ้น - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เขาคลอขลุ่ยครวญเสียงเพียงแผ่วผิว
ชะลอนิ้วพลิ้วผ่านจากมานหมอง
โอดสะอื้นอ้อยอิ่งทิ้งทำนอง
เป็นคำพร้องพริ้งพรายระบายใจ

โอ้ดอกเอ๋ยเจ้าดอกขจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน จะนอนไหน
ค่ำลงแล้วแนวพนาและฟ้าไกล
เจ้านอนได้ทุกเถื่อนท่าไม่อาทร

แล้วหวนเสียงเรียงนิ้วขึ้นหวิวหวีด
เร่งอดีตดาลฝันบรรโลมหลอน
ถี่กระชั้นสั่นกระชากใจจากจร
ระเรื่อยร่อนเร่มาเป็นอาจิณ

โอ้ใจเอ๋ยอ้างว้างวังเวงนัก
ไร้แหล่งพักหลักพันจะผันผิน
เพิ่มแต่พิษผิดหวังยังย้ำยิน
ระด่าวดิ้นโดยอนาถแทบขาดใจ

ข้าเคยฝันถึงฟ้ากว้างกว่ากว้าง
ฝันถึงปางทับเปลี่ยวเรี่ยวน้ำไหล
ถึงช่อเอื้องเหลืองระย้าคาคบไม้
ในแนวไพรนึกเหมือนเป็นเพื่อนเนา

รู้รสแรงแห่งทุกข์และสุขสิ้น
บนแผ่นดินแผ่นเดียวเปลี่ยวและเหงา
จิบน้ำใจจนทั่วเจียนมัวเมา
ไร้ร่มเงารังเรือนและเพื่อนตาย

เขาเคลียนิ้วเนิบนุ่มเสียงทุ้มพร่า
เหมือนหวนหาโหยไห้น่าใจหาย
เจ้าขมิ้นเหลืองอ่อนนอนเดียวดาย
จะเหนื่อยหน่ายหนาวน้ำค้างที่กลางดง

เสียงฉับฉิ่งหริ่งรับขยับเร่ง
จะพรากเพลงเพื่อนยินสิ้นเสียงส่ง
เขาเบือนนิ้วผิวแผ่วแล้วราลง
เสียงนั้นคงเน้นครางอย่างห่วงใย

เจ้าดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล
นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน
เขาวางขลุ่ยข่มน้ำตาว้าเหว่ใจ
ตอบไม่ได้ดอกหนาข้าคนจร



                                          หวานคมเคียว...

                          เอนระนาบอาบน้ำค้างกลางแดดหนาว
                          ทอดรวงยาวยอดระย้าราน้ำใส
                          ละลานรอบขอบฟ้าคราพลิ้วใบ
                          เพียงพรมใหญ่ไหวระยาบทาบเปลวทอง

                          เพรียกเพลงเรือเมื่อสางหมอกจางสี
                          ระเรื่อยรี่เลียบลัดตัดชายหนอง
                          สาวเจ้าพายย้ายเยื้องชำเลืองมอง
                          หนุ่มก็พร้องเพลงเกี่ยวเกี้ยวแก้กัน

                          โอ้ช่อทิพย์รวงทองชะน้องเอ๋ย
                          พี่ควงเคียวเกี่ยวเกยไม่เคยหวั่น
                          หวาดแต่ใจเจ้าไม่จริงมิ่งแจ่มจันทร์
                          จะเกี่ยวค้างเสียกลางคันเท่านั้นเอย ฯ

                          สาวสะเทิ้นเอิ้นเอ่ยเผยโอษฐ์โอ้
                          ดอกโสนริมนาพี่ยาเอ๋ย
                          จะลดเลี้ยวเกี่ยวใจน้องไม่เคย
                          ที่ไหนเลยจะเชี่ยวเท่าคนเจ้าชู้ ฯ

                          เพลงรักแว่วแผ่วหวานกังวานหวิว
                          ทั้งทุ่งทิวทั่วใกล้ไกลเกินกู่
                          นกร่ายฟ้ามาเรียงเคียงริมคู
                          สาวหนุ่มคู่คลอแข่งร่วมแรงงาน

                          เขาเริงรื่นลงแขกแลกแรงเรี่ยว
                          ต่างจับหน้าคว้าเคียวเกี่ยวผสาน
                          ล้วนข้าวงามอร่ามกอคลอน้ำนาน
                          เขาขานบอกออกอุทาน ..หวานคมเคียว
                                            ( คำหยาด : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)


ปากกับใจ

พอแขแข่งแสงครอบรายขอบฟ้า
คลองที่หน้ากระทอมคร่ำก็น้ำเจิ่ง
รวงข้าวมันรันเรียงเสียงรำเริง
เครียดคิดเถิงทุกข์ครันเสียงรันเรียง

โอ้ เจ้าแก้วพิกุลเกี่ยวมาเกี้ยวเกล้า
เสน่ห์เจ้ากระจายสิ้นเป็นเสี่ยงเสี่ยง
หวานเพลงแว่วแผ่วเว้าเศร้าสำเนียง
ก็เผลอเพียงฟังลำนำลอยน้ำมา

" สองกรพี่ข้อนอก
                      ช้ำจนชุ่มฟูมฟกอนิจจา
ลอยเรือลำลองเรียกร้องความหลัง
                      แม่แช่มช้อยร้อยชั่งร่วมนาวา
โอ้  ค่ำนี้มิได้มีสมร
                      แม่จางพรากจากจรไม่เจรจา
มาได้ใจพี่ด่วนพอพบนวลหน้าน้ำ
                      ร้องทำนองลำนำที่ริมนา
มุ่นเกล้ากลึงกลมปอยผมแกว่งไกว
                      เอิบอิ่มยิ้มละมัยลออตา
ไม่กล้าทายทักแม้จะรักสุดฤทธิ์
                      เมื่อได้ครุ่นคิดถึงคุณค่า
แม่ศักดิ์ประเสริฐเหมือนกับเกิดในวัง
                      พี่มันชายน่าชังไม่ลือชา
สู้อดออมถนอมอกด้วยตระหนกตระหนัก
                      ทั้งทั้งที่รักเสียนักหนา
สุดท้ายกุศลบันดลบันดาล
                      บอกเยาวมาลย์ทางสารา
แม่ตอบแม่ต้องแม่สนองแม่เสนอ
                      พี่ละเมิดละเมอแต่นั้นมา
ใจต่อใจวิสัยสนิท
                      จึงต่างเข้าจิตเมื่อต้องตา
พี่จากไปทัพเพื่อรบรับอริ
                      แม่เด็ดดอกมะลิและมาลา
พิกุลจำปีปีบศรีศักดิ์ทรง
                      รวมดอกมหาหงส์เสน่หา
พี่รับไปดอมได้หอมจนชนะ
                      พอกลับกรุงมุ่งปะก็เปล่าตา
แม่สิ้นเยื่อใยสิ้นไมตรีจิต
                      พี่แทบสิ้นชีวิตลงโรยรา
ก่อนจะรักกันเอ๋ย  สิมันยาก
                      ทรมานพี่มากมานานช้า
พอพี่พบพูดเอ๋ย  ไม่พอใจ
                      เจ้าตัดบทหมดไยรังเกียจหน้า
ลอยเรือลำรักสะอื้นฮักสะอึกโหย
                      มันตรมโตรดโอดโอยอนิจจา
พี่มาร่ำทุเรดแม่ไม่เวทนา
                      จบลำนำร่ำลาตายเอย..."

เออ สงสารมันหนอขอสวาท
แต่สิ้นชาติชายแกล้วมึง แล้วเหวย
รักฉะนี้ อดสูกูก็เคย
แต่ไม่เอ่ยปากพร่ำวอนน้ำใจ

เมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก
ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน
ไม่รักกู กูก็จักไม่รักใคร
เอ๊ะ น้ำตากูไหลทำไมฤๅ?

                 
       สุจิตต์  วงษ์เทศ

กล่อมแก้ว

" สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม
เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา
ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน

งามเนตรดั่งเนตรมฤคมาศ
งามขนงวงวาดดังคันศิลป
อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน
หวังถวิลไม่เว้นวายเอย "

เยี่ยงคนยากฝากเพียงเสียงคำหวาน
แผ่วลมผ่านกล่อมให้แก้วใจเอ๋ย
เพราะไกลเกินพบเพื่อนเหมือนดังเคย
ได้เพียงเผยเพลงกล่อมถนอมใจ

โอ้จันทร์เพ็งเล็งแลแต่เปลี่ยวปลื้ม
ยิ่งด่ำดื่มน้ำตาตวงความห่วงไห้
ขวัญจะเหงาเศร้าสะอื้นกลืนอาลัย
นับวันไกลเกินกว่ามาแนบนวล

ฝากเพลงกล่อมถนอมแนบแอบโอษฐ์อุ่น
เคลียละมุนแก้มผ่องป้องกำสรวล
ปิดเนตรน้องคล้องขวัญรับรัญจวน
แอบอกอวลอารมณ์ข่มนิทรา

อ้อมแขนแห่งความรักจักโอบอ้อม
เชิญหลับในวงล้อมเสน่หา
กว่าผ่านเคราะห์เสาะเสน่ห์แห่งเวลา
จะมาจูบเปลือกตาปลุกแก้วใจ
                                               #สุรินทร์  ประสพพฤกษ์

สุรินทราหู

แผ่วเพลงเพื่อนเอื้อนพ้อล้อคำหวาน
เจียนจะลานใจลงเพราะหลงใหล
ทุกภาพพจน์รสถ้อยร้อยฤทัย
แทบคว้าไขว่ไหวหวามตามรำพัน

เคลิ้มคลับคล้ายสายสุดามาแผ่วแผ่ว
กรีดเสียงแก้วกลึงกลอนกล่อมสวรรค์
เพียบพิมานม่านมุ่นละมุนจันทร์
แม้ใกล้กันก็เหมือนไกลให้ระทม

ทุกภาพพจน์เผยผ่านม่านประสาท
ประจงวาดพิมพ์กมลทนขื่นขม
สามสายซอล้อรื่นตื่นอารมณ์
แนบนิ้วพรมแผ่วพร่ำร่ำอาลัย

ทอดคันสีหรี่เสียงเพียงใจขาด
พิศหรือผาดเพ่งพรั่นก็หวั่นไหว
ขนตางอนช้อนตาขลับจับแสงไฟ
เหมือนล้อให้ดาวดับลับแสงเดือน

พิมพ์ภาพนี้วันนั้นวันสุดท้าย
เห็นคลับคล้ายคราวใดก็ไม่เหมือน
ยิ่งเพลงพลิ้วหวิวหวามมาตามเตือน
เคล้าเสียงเพื่อนเอื้อน สุรินทร์ฯ โอ้ยินดี

" น้องเป็นหญิงยากจริงจริงจะให้เห็น
พ่อก็เป็นชายเลิศประเสริฐศรี
ถ้าน้องเป็นชายตัวพ่อพลายเป็นสตรี
ค่ำค่ำนี้จะไปแนบให้หนำใจ "

เหมือน สุรินทร์ สิ้นมนต์จึงหม่นหมอง
คนเคยร้องเคยสีอยู่ที่ไหน
สุรินทร์ ฟังเพลงสุรินทร์ฯ เหมือนสิ้นใจ
วอนอย่าใช้ สุรินทร์ฯ มาฆ่า สุรินทร์
                                                #สุรินทร์  ประสพพฤกษ์


บทสุดท้ายของนิยายรัก

๏ จริงหรือนี่ที่ว่ารักเราจักร้าว
นึกแล้วหนาวเหน็บนักแก้วรักเอ๋ย
รสสัมผัสอ่อนละมุนที่คุ้นเคย
ไยจึงเผยรสร้างจืดจางกัน

เราเคยร่วมใจฝันว่าวันหนึ่ง
เราจะถึงวันที่งามเหมือนความฝัน
ฟ้าสีทอง ดอกไม้บาน ธารพระจันทร์
และรักอันคงค่าสถาพร

ฉันเฝ้ารอคอยวันที่ฝันไว้
รอด้วยรักด้วยใจไม่ถ่ายถอน
แต่นี่สร้อยสายสวาทมาขาดตอน
เธอกล้ารอนลงด้วยมือเธอหรือไร

เมื่อเธอสิ้นเสน่หามาสนอง
รักที่ปองมอดหมดความสดใส
แผลรักร้ายบ่อนทั่วเนื้อหัวใจ
จะต้องปวดร้าวไปถึงไหนกัน

ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก
แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน
และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน
เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างกลับร้างไกล

นิยายรักยืดยาวของเรานั้น
คงไร้วันสดชื่นขึ้นบทใหม่
หมดความหมายที่จะรอกันต่อไป
เพราะเปลวไฟรักดับลงกับตา ๚
                                            #เฉลิมศักดิ์ (ศิลาพร) รงคผลิน

จากลูกชายกำนันถึงลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน

๏ เลือดฝาดเอ็งเปล่งปลั่งก็ยังสาว
ลองแก่คราวขนาดยายจะไหวหรือ?
เสน่ห์ที่มิได้ทำจากน้ำมือ
สามสี่มื้อบอกตรงตรงก็คงคลาย

ข้าหลงรักก็เพราะเล็งเห็นเอ็งสวย
ปราศสิ่งช่วยเสริมให้ชวนใจหาย
วันแรกสึกออกมาก็ตาลาย
เอ็งกลับกลายเกินจริตแผกผิดคน

เรียนตัดเสื้อในเมืองเป็นเรื่องชอบ
ถูกระบอบขอบเขตของเหตุผล
เพราะคนเราไร้วิชาย่อมพาจน
ข้าไม่เถียง,อ็งด้นถูกหนทาง

สามเดือนเหมือนสามปีที่ข้าบวช
หัวใจรวดร้าวเลยยินเอ่ยอ้าง
ว่ารักชื่นสิจะชืดรสจืดจาง
เกือบแหกกลางพรรษาออกมาดู

เมื่อเห็นตาเคยซื่อกลับดื้อรั้น
ยิ่งเชื่อมั่นแน่ใจเอ็งหมายหลู่
น้ำตาแค้นตกในรินไหลพรู
อุตส่าห์สู้ห่วงหวงเท่าดวงใจ

สิ้นเอ็งแล้วข้าก็พร้อมจะยอมบ้า
ฆ่าเอ็งก็เหมือนฆ่าน้าผู้ใหญ่
ลูกกำนันบุญน้อยขอคล้อยไกล
ข้าไม่ใช่ลูกชายนายอำเภอ ! !
#ขรรค์ชัย บุนปาน



ฟ้อง

๏ อยากเขียนกลอนได้ฉ่ำเหมือนน้ำผึ้ง
อ่านแล้วซึ้งซาบสุขทุกอักษร
ให้รื่นรวยรินรสทุกบทกลอน
จนสะท้อนสะท้านจิตมิตรทุกคน 

เพื่อผู้อ่านอ่อนไหวหัวใจหวิว
ราวช่อหลิวลู่โอนคราวโดนฝน
แต่ครั้นลองรื้ออดีตออกคิดค้น
มีสักหนไหมอารมณ์เคยสมจินต์

ที่เขียนแต่กลอนอวดความปวดร้าว
ใช่อยากสาวใส้ตนให้คนหมิ่น
เคยเห็นแต่ความช้ำน้ำตาริน
ความพังภินท์ความเศร้าและร้าวราน

ท้องฟ้าคลุ้มเมฆคลึ้มดูทึมอับ
ช่วยตอบรับว่าไม่มีชีวิตหวาน
การหวังคอยน้ำใจใครมาจาน
ต้องคอยนานถึงหมดความอดทน

กลอนบทแรกแม้จารเสียหวานฉ่ำ
ไม่กี่คำมักสะท้อนเป็นกลอนหม่น
ภาษากลอนย้อนมาฟ้องห้องกมล
โดยเผลอตนกรองกานท์ประจานใจ

ถ้าฉันขาดใจตายในวันนี้
ถึงไม่มีคนหมองช่วยร้องให้
ยังพอมีกลอนย้ำความอาลัย
ช่วยหม่นไหม้อาวรณ์ตอนสิ้นลม ๚
#เกษมสุข บุณยมาลิก

อายดิน  
     
๏ เห็นรอยเท้าเคยยืนสะอื้นอก
อยากหยิบยกออกมาถ้าทำได้  
คิดเกลื่อนกลบลบรอยน้อยน้ำใจ       
โอ้อาลัยลานดินจะสิ้นรอย  
    
เคยฝากฝังสั่งใจโอ้ใจเอ๋ย       
เมื่อก้าวเลยมาไกลทำไมถอย  
เสียแรงฟ้าหวังให้เกิดมาเลิศลอย       
มัวมาคอยเนิ่นสายอายสุธา  
    
ทะลึ่งโลดโดดได้ไม่ยอมหยุด       
พลาดสะดุดเซถลำคว่ำถลา  
ลื่นไถลลุกถลันรั้นขึ้นมา       
ถนัดตาโธ่ล้มจนจมดิน  
   
สงสารตัวชั่วหรือที่ดื้อสู้       
จนอดสูเจ็บอายไม่วายสิ้น 
ทั้งหยาบหยามหยันใจให้ได้ยิน      
ราวพิษรินราดจิตอนิจจา 
   
แหนงจิตฟ้าฟ้าเหวยใยเย้ยซ้ำ       
ให้ชอกช้ำเจ็บอายน่าขายหน้า 
สิ้นรอยดินใช่จะสิ้นคนนินทา       
เมื่อชื่อตราไว้เพื่อหลู่ในหมู่ชน 
  
เห็นรอยดินเคยล้มก็ขมจิต       
อยากจะปิดเนตรเร้นไม่เห็นหน 
สงสารตัวต่ำเคล้ารอยเท้าตน       
อายผู้คนยังไม่วายมาอายดิน๚
#โกวิท สีตลายัน








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น